ห้องเรียนครูทับทิม
การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน
การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติให้ได้ประสบการณ์ตรง ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น มุ่งให้ผู้เรียนคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น วิธีจัดการเรียนการสอนที่ยอมรับและใช้เพื่อจัดกิจกรรมการการเรียนรู้นั้นมีหลากหลายวิธี เช่น การเรียนแบบโครงงาน การเรียนแบบสืบเสาะ หาความรู้ การเรียนแบบศูนย์การเรียน เป็นต้น
จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่พัฒนาคุณลักษณะผู้เรียนด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ผู้ศึกษาพบว่า การเรียนแบบโครงงานสามารถพัฒนาความสามารถทางวิทยาศาสตร์ของผู้เรียนได้ ดังนั้นผู้วิจัยจึงนำการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานบูรณาการกับชุดกิจกรรม และได้สังเคราะห์องค์ประกอบต่างๆ ของการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ดังนี้
1. ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน
การสอนแบบโครงงาน เป็นการสอนที่ให้โอกาสนักเรียนได้วางโครงการและดำเนินการให้สำเร็จตามความมุ่งหมายของโครงการนั้น อาจเป็นโครงการที่จัดทำเป็นหมู่หรือคนเดียวก็ได้ นักเรียนจะมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการทำงานนั้นด้วยตนเอง ลักษณะการสอนคล้อยตามสภาพจริงของสังคมเป็นการทำงานที่เริ่มต้นด้วยปัญหาและดำเนินการแก้ปัญหาโดยลงมือทดลองปฏิบัติจริง (ประนอม เดชชัย, 2531, หน้า 50 อ้างอิงใน ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์, 2552, หน้า 343)
การสอนวิทยาศาสตร์แบบโครงงาน เน้นที่ปัญหารอบตัว หรือคำถามของผู้เรียนซึ่งมีแก่นมาจากเนื้อหาในหลักสูตรที่นำมาบูรณาการให้เป็นความรู้สำหรับผู้เรียนได้ โครงงานจะต้องเป็นตัวเร้าให้ผู้เรียนสร้างสิ่งเชื่อมโยงระหว่างระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ หลักการและประสบการณ์ ในชีวิตจริงให้สอดคล้องกันอย่างเป็นระบบและสมเหตุสมผล การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มของนักเรียนจะต้องแสดงถึงขั้นตอนการใช้เครื่องมืออย่างเหมาะสม จนได้ผลงานที่พัฒนาขึ้นจากความรู้ ความเข้าใจ และผ่านกระบวนการแก้ปัญหามาแล้วอย่างมีขั้นตอน (วินัย ดำสุวรรณ, 2543, หน้า 35)
การจัดการการเรียนการสอนโดยใช้โครงการเป็นหลัก คือ การจัดสภาพการณ์ของการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนได้ร่วมกันเลือกทำโครงการที่ตนสนใจ โดยร่วมกันสำรวจ สังเกต และกำหนดเรื่องที่ตนสนใจ วางแผนในการทำโครงการร่วมกัน ศึกษาหาข้อมูลความรู้ที่จำเป็น และ ลงมือปฏิบัติงานตามแผนงานที่วางไว้จนได้ข้องค้นพบหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่แล้วจึงเขียนรายงานและนำเสนอต่อสาธารณชน เก็บข้อมูล แล้วนำผลงานและประสบการณ์ทั้งหมดมาอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความคิดค้น และสรุปผลการเรียนรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ที่ได้รับทั้งหมด (ทิศนา แขมมณี, 2550, หน้า 139)
กล่าวโดยสรุปคือ การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ร่วมกันเป็นกลุ่มที่เริ่มต้นจากปัญหารอบตัว ซึ่งมีแก่นมาจากเนื้อหาในหลักสูตร มีการวางแผนการดำเนินงานแก้ปัญหาที่ตนเองสนใจ ดำเนินงานตามแผนที่กำหนดด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ สังเกต สำรวจ ศึกษาค้นคว้า ทดลองปฏิบัติจริงอย่างเป็นระบบและสมเหตุสมผล จนได้ข้อค้นพบใหม่จากความรู้ความเข้าใจ เขียนรายงาน และนำเสนอผลการดำเนินงาน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ในการศึกษาค้นคว้าในครั้งแบ่งเป็นการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็น 5 ขั้นตอน คือ จากปัญหาพาพบโครงงาน เขียนเค้าโครงแนวนำทาง รวมพลังตามแผนปฏิบัติ ร่วมใจจัดทำรายงาน และนิทรรศการภูมิใจเสนอ
2. หลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน
ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน (Constructionism) เป็นทฤษฎีที่มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piagat) เช่นเดียวกับทฤษฎีการสร้างความรู้ (Constructionism) ผู้พัฒนาทฤษฎีนี้คือ ศาสตราจารย์ซีมัวร์ เพเพอร์ท (Seymour Papert) แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาซูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology) เพเพอร์ทได้มีโอกาสร่วมงานกับเพียเจย์และได้พัฒนาทฤษฎีนี้ขึ้นในวงการศึกษา (ทิศนา แขมมณี, 2550, หน้า 96)
แนวความคิดของทฤษฎีนี้ คือ การเรียนรู้ที่ดีเกิดจากการสร้างพลังความรู้ในตนเองและด้วยตนเองของผู้เรียน หากผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความคิดและนำความคิดของตนเองไปสร้างสรรค์ชิ้นงานโดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสม จะทำให้เห็นความคิดนั้นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน และเมื่อผู้เรียนสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาในโลก ก็หมายถึงการสร้างความรู้ขึ้นในตนเองนั่นเอง ความรู้ที่ผู้เรียนสร้างขึ้นเองในตนเองนี้ จะมีความหมายต่อผู้เรียน จะอยู่คงทน ผู้เรียนจะไม่ลืมง่าย และจะสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจความคิดของตนได้ดี นอกจากนั้นความรู้ที่สร้างขึ้นเองนี้ ยังจะเป็นฐานให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ใหม่ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด (สำนักงานโครงการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2542, หน้า 1-2 อ้างอิงใน ทิศนา แขมมณี, 2550, หน้า 96)
วิธีสอนแบบโครงงานซึ่งเป็นแนวความคิดของนักการศึกษาชาวอเมริกันคือ John Dewey และ William H. Kitpatrick เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยผ่านประสบการณ์หรือกล่าวได้ว่าเป็นการเรียนรู้จากการกระทำ (Learning by doing) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เลือกกระทำในสิ่งที่สนใจ ผู้เรียนเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเอง มีการวางแผน มีการแก้ปัญหาการทำงานอย่างมีระบบ เพื่อให้กิจกรรมนั้นสำเร็จ ชิ้นงานเป็นผลพลอยได้จากกิจกรรมการเรียนรู้ซึ่งเกิดจากแรงกระตุ้นเพื่อคิดหาเหตุผล (ปัญญา สังข์ภิรมย์, 2550, หน้า 2)
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนมีโอกาสปฏิบัติจริงให้มากในทุกขั้นตอน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากนักจิตวิทยาในแนวใหม่ที่มุ่งให้ผู้เรียนสำรวจตนเอง ค้นหาความถนัดและปัญหาที่ตนสนใจ ผู้เรียนมีโอกาสเลือกวางแผนการและดำเนินการด้วยตนเอง ซึ่งการเรียนการสอนดังกล่าวเรียกว่า การสอนแบบโครงการ (Project method) โดยอาศัยหลักปรัชญาของ John Dewey ซึ่งเป็นการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนคิดเป็น ทำเป็นและแก้ปัญหาได้ในที่สุด(ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์, 2552, หน้า 343)
ทิศนา แขมมณี (2549, หน้า 138-139) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงการเป็นหลัก (Project-Based Instruction) มีหลักการดังนี้
1. โครงการหรือโครงงานเป็นกิจกรรมที่มีบริบทจริงเชื่อมโยงอยู่ดังนั้นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจึงสัมพันธ์กับความเป็นจริง สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตจริง จึงเป็นการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน
2. การให้ผู้เรียนทำโครงการหรือโครงงาน เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เข้าสู่กระบวนการสืบสอบ (process of inquiry) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ผู้เรียนต้องใช้การคิดขั้นสูงที่ซับซ้อนขึ้น ดังนั้นจึงเป็นช่องทางที่ดีในการพัฒนากระบวนการทางสติปัญญาของผู้เรียน
3. การจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงการเป็นหลัก ช่วยให้ผู้เรียนได้ผลิตงานที่เป็นรูปธรรมออกมา ผลผลิตที่แสดงออกถึงความรู้ความคิดของผู้เรียนนี้สามารถนำมาอภิปรายแลกเปลี่ยนและวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างชัดเจน ซึ่งผลการวิจัยด้านสติปัญญาและการเรียนรู้ได้ชี้ชัดว่าการเรียนรู้จะพัฒนาขึ้นหากความรู้และทักษะต่างๆ สามารถแสดงออกให้เห็นได้อย่างชัดเจน
4. การแสดงผลงานต่อสาธารณชน สามารถสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้และการทำงานให้แก่ผู้เรียนได้ แรงจูงใจจะมีผลต่อความใส่ใจ ความกระตือรือร้น และความอดทนในการแสวงหาความรู้ การศึกษาความรู้ และการใช้ความรู้
5. การให้ผู้เรียนทำโครงการหรือโครงงาน นอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะกระบวนการในการสืบสอบและแก้ปัญหาแล้ว ยังสามารถช่วยดึงศักยภาพต่างๆ ที่มีอยู่ในตัวของผู้เรียนออกมาใช้ประโยชน์ด้วย
จากหลักการของโครงงานที่กล่าวมานั้น ผู้ศึกษาค้นคว้าสร้างและพัฒนาชุดกิจกรรมแบบโครงงานโดยยึดหลักการที่จะให้ผู้เรียนได้ศึกษาโดยเน้นปัญหา ความต้องการคำตอบที่เป็นจริงของนักเรียนในสภาพแวดล้อมจริง หลักการ ทฤษฏีและเหตุการณ์จริง โดยผู้เรียนต้องผลิตผลงานการทำโครงงานให้เป็นชิ้นงานที่เป็นรูปธรรม สามารถมองเห็น และจับต้องได้ และผู้เรียนต้องนำเสนอผลงานต่อสาธารณชน เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะการนำเสนอผลงาน และเพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้ ที่เป็นประโยชน์ต่อไป เรียกว่า การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน (project-based learning)

สถิติจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชม